รู้จักประเภทโฆษณา Youtube ก่อนเลือกใช้ให้ถูกต้อง

รู้จักประเภทโฆษณา Youtube ก่อนเลือกใช้ให้ถูกต้อง

Youtube Ads
Youtube ถือเป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่ในแต่ละวันมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นแหล่งรวมวิดีโอคอนเทนต์ไว้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เพลง รายการต่างๆ รวมถึง Vlog ที่หลายๆคนมักจะถ่ายและอัปโหลดให้ได้ชมกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Youtube กลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มความบันเทิงชั้นยอดเลยก็ว่าได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนมักจะหันมาทำการตลาดออนไลน์ผ่านการลงโฆษณาใน Youtube กันมากขึ้นนั่นเอง เพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้คนเห็นโฆษณาของเราได้เป็นจำนวนมาก แต่โฆษณา Youtube เองก็มีหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนมาดูกันว่าประเภทโฆษณาของ Youtube มีอะไรบ้าง มาดูพร้อมๆ กันเลย

โฆษณาแบบดิสเพลย์ (Display ads)

โฆษณา Youtube ที่หลายๆ คนน่าจะเคยเห็นกันอยู่บ่อยๆ ด้วยการโชว์ Banner ขนาด 300×250 หรือ 300×60 โดยจะปรากฏในหน้าต่างๆ ของ Youtube ยกเว้นหน้า Homepage  โดยโฆษณา Youtube ประเภทนี้จะอยู่ด้านข้างของวิดีโอและอยู่เหนือ Suggest Video นั่นเอง

โฆษณาซ้อนทับ (Overlay ads)

เป็นโฆษณา Youtube ที่คล้ายกับประเภทแรก แต่จะปรากฏซ้อนกับวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่ โดยอยู่ 20% ด้านล่างของวิดีโอ ซึ่งจะเห็นเป็นโฆษณาซ้อนทับกึ่งโปร่งใส ผู้ชมสามารถปิดได้ตลอดเวลา โดยโฆษณา Youtube ประเภทนี้มีขนาด 480×70

โฆษณาวิดีโอแบบข้ามได้ (Skippable video ads)

เป็นโฆษณาที่มีขนาดเต็มหน้าจอ โดยอาจจะเล่นแทรกอยู่ก่อน ระหว่าง หรือหลังเล่นวิดีโอหลัก โดยจะพบได้ทั้งในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงการเล่น Youtube บน TV ด้วยเช่นกัน ซึ่งโฆษณา Youtube ประเภทนี้สามารถกดข้ามได้ หลังเล่นไปแล้ว 5 วินาที

โฆษณาวิดีโอที่ข้ามไม่ได้และโฆษณาวิดีโอที่ข้ามไม่ได้แบบยาว (Non-skippable video ads and long, non-skippable video ads)

เป็นโฆษณา Youtube ที่ปรากฏตำแหน่งเดียวกับแบบ Skippable video ads แต่จะพบได้แค่ในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือเท่านั้น และผู้ชมจะไม่สามารถกดข้ามได้ มีความยาวตั้งแต่ 15-30 วินาที

โฆษณาบัมเปอร์ (Bumper ads)

โฆษณา Youtube แบบที่เป็นวิดีโอกดข้ามได้ แต่จะขึ้นมาก่อนจะเข้าสู่วิดีโอ โดยผู้ชมจะต้องดูโฆษณาความยาวสูงสุด 6 วินาทีก่อนจึงจะดูวิดีโอที่เลือกไว้ได้

การ์ดผู้สนับสนุน (Sponsored cards)

เป็นโฆษณา Youtube ที่มีการ์ดผู้สนับสนุนที่ปรากฏขึ้นด้านบนจอแสดงวิดีโอ โดยเป็นการแสดงเนื้อหาที่อาจเกี่ยวข้องกับวิดีโอ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่แสดงในวิดีโอ ซึ่งข้อกำหนดก็คือผู้ชมจะเห็นทีเซอร์ของการ์ดเป็นเวลา 2-3 วินาที และสามารถคลิกไอคอนในมุมขวาบนของวิดีโอเพื่อเรียกดูการ์ดได้ด้วย

จะเห็นได้ว่าการทำการตลาดออนไลน์ผ่านการลงโฆษณาทาง Youtube มีให้เลือกหลากหลายแบบมาก ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้ ดังนั้นการเลือกใช้งานแต่ละแบบต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะได้รับ เพื่อให้การลงโฆษณา Youtube แต่ละครั้งของเราไม่สูญเปล่าและเกิดประโยชน์สูงสุด

google display network

ปัจจุบันเรามักรับข่าวสารต่างๆ จากการท่องโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามข่าวและเหตุการณ์ต่างๆ  การติดต่อสื่อสาร หรือแม้กระทั่งการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ การโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์จึงกลายเป็นที่นิยมในปัจจุบัน google display network เองก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นิยมอย่างมากเช่นกัน

google display network หรือเรามักจะได้ยินว่า GDN ซึ่งหมายถึงการทำโฆษณาในเครือข่ายดิสเพลย์ของ google adwords เมื่อพูดถึงการทำโฆษณาใน google adwords เรามักจะนึกถึงการทำโฆษณาด้วยการค้นหาใน Google ซึ่งจริงๆ แล้ว google adwords การทำโฆษณาแบบรูปภาพ ให้ใช้กันได้ด้วย ทำให้สามารถอัปโหลดรูปภาพ แล้วแสดงโฆษณาไปตามเว็บไซต์ต่างๆที่เป็นพันธมิตรกับ Google เช่น YouTube หรือตามหน้าเว็บต่างๆ

ในอดีตเมื่อไหร่ที่เราต้องการที่จะทำโฆษณา ผู้ลงโฆษณาจะต้องเช่าพื้นที่ตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อนำภาพโฆษณาไปแปะในพื้นที่ๆ เราเช่าไว้ โดยต้องทำการติดต่อกับเว็บไซต์นั้นเองโดยตรงและมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และเสียเวลานาน แต่การทำโฆษณาผ่าน google display network มีข้อดีทั้งในด้านของระยะเวลาที่ลดลง และราคาที่ถูกกว่าการเช่าพื้นที่ตามเว็บไซต์

ซึ่งการจะทำโฆษณาใน google display network ให้ได้ผลลัพธ์ดี ควรประกอบด้วยองค์ประกอบต่อไปนี้ 

– ภาพที่เด่นสะดุดตา                                                                                                                                             

ในบางครั้งภาพที่ใช้โฆษณาอาจจะถูกนำไปแสดงในตำแหน่งที่ไม่น่าสนใจ หรืออยู่ในจุดอับสายตา ดังนั้นภาพที่จะใช้โฆษณาควรเด่นและสะดุดตาจึงจะสามารถดึงดูดให้คนสนใจในภาพของเรา

– กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด                                                                                                                       

 ถือว่าเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการทำโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์เลยก็ว่าได้ สำหรับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด เพราะการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุดจะช่วยเพิ่มโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นจะมีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาของเรามากยิ่งขึ้น

จะเห็นว่า google display network เป็นอีกช่องทางที่เหมาะสำหรับการโฆษณา และคุ้มค่ากับการลงทุนจริงๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเลือกทำโฆษณาด้วยสื่อออนไลน์อย่าลืมเลือกใช้ google display network เป็นตัวช่วยในการโฆษณาสินค้าและบริการของคุณ

3 ช่องทางงานด้าน Online Marketing

ในยุคสมัยที่อินเตอร์เน็ตเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน นักการตลาดเลยมองเห็นลู่ทางสำหรับการทำการตลาด ซึ่งสามารถทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น มีการบอกต่อได้ง่ายขึ้น การตลาดแบบนี้เรียกว่า Online Marketing ซึ่งมีลักษณะอย่างไรบ้าน งานด้าน Online Marketing ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวถึง งานด้าน Online Marketing ทั้งหมด 3 ด้านด้วยกัน

  • Search Engine Marketing (SEM)

การตลาดในงานด้าน Online Marketing ประการแรกเราจะพูดถึง Search Engine Marketing ซึ่งเป็นเครื่องมือทำการตลาดที่ใช้เครื่องมือค้นหาทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งงาน Search Engine Marketing จะทำให้เว็บไซต์ สินค้า และบริการของคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น จึงทำให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ การทำการตลาดในลักษณะนี้เป็นการตลาดที่มีประสิทธิภาพและตรงจุดประสงค์ งานสำคัญในส่วนนี้คือ การใช้ “Keyword” ซึ่งเป็นตัวกำหนดขอบเขต เมื่อมีการป้อน Keyword ในช่องค้นหาบน Search Engine Page จากนั้น Search Engine จะประมวลผลและแสดงรายการเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับ Keyword การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆบนหน้า Search Engine มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดการรับรู้มากขึ้น นำมาซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดย Search Engine Marketing สามารถแบ่งออกได้อีก 2 แบบ นั่นคือ SEO และ PPC

  • SEO (Search Engine Optimization) เป็นการโปรโมทเว็บไซต์เพื่อเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆบน Search Engine ผ่านการป้อน Keyword ในช่องค้านหาของ Search Engine Page ต่างๆ เช่น Google Yahoo! ซึ่งวิธีการนี้มีเงื่อนไขคือต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฎของ Search Engine นั้นๆที่ได้เลือกใช้
  • PPC (Pay Per Click) เป็นการโปรโมทเว็บไซต์อีกชนิดหนึ่งเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับคล้ายๆกับ SEO แต่การโปรโมทแบบนี้จะเป็นการโปรโมทผ่านส่วนโฆษณาที่อยู่บน Search Engine Page ซึ่งต้องจ่ายเงินเมื่อมีการ Click เข้าไปดูเว็บไซต์ ซึ่งขั้นตอนนี้ง่ายและรวดเร็วมากกว่าแบบ SEO ไม่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในเว็บไซต์ เพียงแค่ต้องประมูล Keyword เว็บไซต์ของคุณก็จะสามารถแสดงอยู่บนอันดับต้นๆได้
  • E-mail Marketing

เป็นงานอีกด้านของงานด้าน Online Marketing เป็นวิธีการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยการส่ง E-mail เป็นการประชาสัมพันธ์ที่สามารถสร้างผลกำไรก้อนโตได้ และใช้เงินลงทุนน้อยกว่า Direct Mail การทำวิธีการแบบนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือต่อธุรกิจและองค์กรได้ ช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า วิธีการนี้มุ่งเน้นการสร้างฐานลูกค้าใหม่และเพิ่มฐานลูกค้าเก่า การทำงานด้าน Online Marketing โดยวิธีการ E-mail Marketing แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

หลักการของงานวิธีนี้คือ โปรแกรมจะนำรายชื่อ E-mail มาจากที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นตามเว็บบอร์ดต่างๆหรือซื้อรายชื่อ E-mail มา จากนั้นข้อความที่เราต้องการจะประชาสัมพันธ์จะถูกส่งไปยัง E-mail นั้นๆ แต่วิธีนี้เมื่อ E-mail ถูกส่งไปแล้วจะกลายเป็น Spam เกือบทั้งหมด วิธีการแก้ไขปัญหานี้แก้ได้โดยการตั้งค่า Pop3 หรือ Smtp ในการส่ง E-mail ผ่าน Webhosting ที่คุณใช้บริการ อาจทำให้ Mail Server ของผู้ให้บริการล่มได้ ทำให้ Webhosting ปิดหรือเลิกใช้บริการของคุณโดยทันที ก่อให้เกิดความเสียหายและทำให้โอกาสทางการตลาดของคุณลดลงด้วย

  • การทำ E-mail Marketing ผ่านให้ผู้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ

วิธีการของงานด้าน Online Marketing โดยการทำ E-mail Marketing ผ่านผู้ให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ โดยผู้ให้บริการจะส่งข้อความที่คุณต้องการประชาสัมพันธ์ด้วย Mail Server ผ่านระบบ E-mail Filters ข้อความส่วนใหญ่จะถูกส่งเข้า Inbox ทำให้สามารถเพิ่มโอกาสในการทำการตลาดของคุณได้ ซึ่งวิธีการนี้ใช้ระยะเวลาในการจัดการที่สั้นลง สามารถทำรายการทั้งหมด ผ่านเว็บไซต์ของให้ผู้บริการได้เลย

  • Social Media Marketing (SMM)

สุดท้ายในงานด้าน Online Marketing ที่เราจะพูดถึงในบทความนี้คือ Social Media Marketing การตลาดแบบนี้เป็นการตลาดที่ใช้ Social Media หรือ สื่อสังคมออนไลน์ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่คุณสามารถนำมาใช้ในการโปรโมทเว็บไซต์ชองคุณได้ เนื่องจาก Social Media เป็นช่องทางการรับรู้ข่าวสารที่นิยมที่สุดในยุคนี้ ผู้ใช้สื่อออนไลน์สามารถเข้าถึงสารได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว การทำการตลาดผ่าน Social Media จะช่วยผลักดันเว็บไซต์ธุรกิจของคุณขยับขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆใน Search Engine ข้อดีของ Social Media Marketing คือ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ประชาสัมพันธืแล้วทำให้เกิดการรับรู้ได้เยอะและรวดเร็ว

จะเห็นได้ว่างานด้าน Online Marketing มีความคล้ายคลึงกับการตลาดแบบเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงช่องทางในการกระจายข่าวสารประชาสัมพันธ์ซึ่งงานด้าน Online Marketing เป็นการตลาดที่ไม่ยาก เพียงแค่ต้องเลือกเครื่องมือที่ถูกต้องและเหมาะสม

โฆษณาสินค้า ให้น่าเชื่อถือ ทำได้ง่าย ๆ แค่ไม่กี่ขั้นตอน

โฆษณาเกินเชื่อ โฆษณาเกินจริง สินค้าตัวนี้จะใช้ได้จริงหรอ หน้าตาไม่น่าใช้เลย คำเหล่านี้เราอาจจะได้เคยยินผ่านหูมาเป็นจำนวนมาก หรือ บางครั้งตัวเราอาจจะเป็นคนพูดคำเหล่านั้นออกมาเอง ซึ่งส่วนมาก โฆษณาสินค้าที่เรามักมองข้าม สังเกตง่าย ๆ คือ มักจะเต็มไปด้วยข้อความยาวเหยียดหรือการจัดวางที่มั่ว แบบไม่มีดีไซน์ หรือ ไม่มีลิ้งค์ไปยังหน้าร้านให้สามารถตรวจสอบได้ วันนี้เราจึงอยากแนะนำขั้นตอนง่าย ๆ ในการโฆษณาสินค้า ให้มีความน่าเชื่อมั่นมากขึ้น

online advertising

  1. เปิดเว็บไซต์ หรือสร้าง Fan page ใน Facebook หรือในช่องทางอื่น ๆ เป็นของตัวเอง ซึ่งจะช่วยเป็นสื่อกลางให้กับคนที่สนใจ ได้เข้ามาเลือกดูสินค้า เป็นการสร้างการตลาดแบบออนไลน์ เป็นช่องทางการโฆษณาสินค้า ที่ทำได้ง่าย โดยต้องคำนึงถึงการออกแบบหน้าเว็บไซต์ด้วย กำหนดโทนและทิศทางของเวบไซต์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
  1. ชื่อร้าน ต้องตั้งให้เด่น อาจใช้การเล่นคำพ้องเสียง พ้องรูป หรือ คำเปรียบเทียบ ซึ่งชื่ออาจระบุสินค้าลงไปด้วยได้ เพื่อเป็นการโฆษณาสินค้าไปในตัว แต่สิ่งที่ไม่ควรทำเลย คือ การยัดทุกอย่างลงไปในชื่อร้าน จนทำให้ชื่อร้านยาวจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าจำไม่ได้
  1. ข้อมูลต่าง ๆ ควรระบุอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ตั้ง ราคา และช่องทางการติดต่อ รวมไปถึง รูปภาพสินค้า อาจทำเป็นภาพ Cover หรือ ภาพปักหมุด ถ้ามีหน้าร้าน ควรถ่ายภาพมาแสดงโชว์ เพื่อเป็นการระบุว่าคุณมีตัวตนจริง สามารถตามไปได้ที่ที่ภาพแสดงได้จริง ซึ่งภาพถ่ายก็ควร หาจุดเด่น หรือแลนด์มาร์ค ที่ใกล้ร้าน เพื่อความสะดวกต่อการเดินทางไปหน้าร้านของลูกค้าในอนาคต
  1. กำหนดราคาสินค้า เรื่องนี้อาจขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของแบรนด์เอง แต่ราคาที่ดี ควรไม่มากไปหรือต่ำไป หากอยากสร้างความเชื่อมั่นในการโฆษณาสินค้า ตั้งราคาให้ดูจากคู่แข่งในโลกออนไลน์ของเรา แต่ถ้าไม่มีคู่แข่ง ก็สามารถตั้งราคาได้อยากอิสระ
  1. กำหนดเวลาในการจัดส่ง และพร้อมตอบคำถาม การขายของในโลกออนไลน์ นอกจากการโฆษณาสินค้า เจ้าของสินค้า บริการ ก็ต้องเตรียมพร้อมในการตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลสินค้า หรือ ข้อมูลเพิ่มเติม ยิ่งสามารถตอบได้เร็วเท่าไหร่ ลูกค้าก็จะยิ่งรู้สึกประทับใจ การส่งของก็ควรตรงต่อเวลา หมั่นแจ้งเลขแทรค ติดตามพัสดุ รีวิวการส่งและรับ เพื่อซื้อใจ และแสดงให้เห็นว่าร้านของคุณส่งจริง

เพียงไม่กี่ขั้นตอน การโฆษณาสินค้า ของคุณก็จะน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่ถ้าคุณไม่มีเวลามากพอในการหมั่นโพส หมั่นเชค หรืออัพเดตเทรนด์ต่าง ๆ ให้กับสินค้า หรือหน้าเว็บไซต์ของคุณ ก็ยังคงมีอีกหนึ่งช่องทางง่าย ๆ คือ การส่งต่อให้ผู้เชียวชาญได้เข้าไปเป็นทีมหนึ่งในการพัฒนาการโฆษณาสินค้า เพื่อผลตอบแทนที่เกินคุ้ม

เทคนิคที่จะช่วยให้ลูกค้ารู้จักคุณบนโลกออนไลน์

การจะทำให้ลูกค้ารู้จักเราบนโลกออนไลน์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถึงเราจะมีธุรกิจก้จริงแต่ถ้าเราไม่มีการโปรโมท โอกาสที่ลูกค้าจะเข้าถึงบริการของเราก็เป็นเรื่องที่ยากมาก

1. เมื่อสร้างรายการคำค้นหา ให้สมมติว่าตัวเองเป็นลูกค้า : การพิมพ์คำค้นหาอะไรบน Google ควรหลีกเลี่ยงคำค้นหาทั่วไป หรือคำค้นหาที่มีขอบเขตกว้างเกินไป ควรใช้วลี 2-3 คำ สำหรับคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจง และควรเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงโฆษณาด้วยการระบุคำค้นหาที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น คำศัพท์ที่เป็นภาษาพูด คำพหูพจน์ ตัวสะกดที่คล้ายคลึงกัน และคำที่มีความหมายเหมือนกัน ขจัดคำศัพท์แบบกว้างๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจำหน่ายสินค้าจำพวกกระเป๋าเดินทาง ก็ไม่ควรใช้คำทั่วไปอย่างเช่น กระเป๋า เพราะโฆษณาของคุณอาจปรากฏในหน้าผลลัพธ์การค้นหาสำหรับ กระเป๋าสตางค์ และ กระเป๋าสะพาย

2. เขียนข้อความโฆษณาที่เชิญชวนให้คลิก : โดยระบุข้อความสำคัญอย่างตรงประเด็น เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านคลิกที่โฆษณา ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย ควรใช้คำค้นหาที่ส่วนหัวข้อและข้อความโฆษณา โดยพิมพ์อักษรตัวหนา และผู้ใช้ก็จะทราบว่าโฆษณาของคุณเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขากำลังค้นหา คุณควรกระตุ้นให้ผู้ใช้ดำเนินการทันทีโดยใช้คำกริยาและวลีที่เน้นการกระทำ เช่น “อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม” “สั่งซื้อทันที” หรือ “ดาวน์โหลดแคตตาล็อกฟรี”

3. ใช้คำค้นหาที่ไม่ต้องการ : คำค้นหาที่ไม่ต้องการ (Negative Keyword) คือส่วนประกอบสำคัญของรายการคำค้นหา ที่ประสบความสำเร็จ และเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการทำให้กลุ่มเป้าหมายมองเห็นโฆษณาของคุณ คำค้นหาที่ไม่ต้องการจะป้องกันไม่ให้โฆษณาของคุณปรากฏบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาที่มีคำศัพท์เหล่านั้น คำค้นหาที่ไม่ต้องการจะช่วยคัดกรองแทรฟฟิกที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป

4. ใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเว็บฟรี: เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเว็บจะช่วยให้คุณวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำว่ามีใครกำลังทำอะไรบนเว็บไซต์ของคุณ โดยจะตรวจสอบติดตามผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ รวมไปถึงการอ้างอิง ประสิทธิภาพของ เสิร์ชเอนจิ้น โปรโมชั่นทางอีเมลล์ และอื่นๆ

5. ตรวจสอบทรัพยากรออนไลน์: โปรแกรมโฆษณาออนไลน์ส่วนใหญ่มีศูนย์ทรัพยากรที่ประกอบด้วยการสาธิต บทความ และวิดีโอที่ เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ผู้ลงโฆษณารายอื่นๆ ก็มักจะมีประสบการณ์และข้อสงสัยคล้ายกับคุณ ดังนั้นคุณจึงสามารถค้นหาคำตอบสำหรับคำถามทั่วไปได้จากศูนย์วิธีใช้